- 30 ปีก่อนค. ) ในยุคนี้เริ่มเมื่อ 300 ปีก่อนคริสตกาล เป็นการเริ่มยุคอารยธรรมกรีกโบราณ (Hellenistic Period) แต่กฎหมายมหาชน ยังคงอยู่ในสภาพเดิมคือ เป็นกฎหมายสำหรับนักการเมือง 3. ยุคคลาสสิก (30 ปีก่อนค. - ค. 300) ในยุคนี้เริ่มเมื่อ ออกุสตุส (Augustus) มีอำนาจในกรุงโรมและสถาปนาตนเป็นจักรพรรดิองค์แรกในราว 30 ปีก่อนคริสตกาล ราว ค. 300 ปลายยุคที่กฎหมายมหาชนเริ่มพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยแง่ครอบคลุมถึงกิจการความเป็นอยู่ของประชาชน อัลเบียน (Ulpian) นักกฎหมายคนสำคัญในยุคนี้สรุปว่ากฎหมายมหาชน คือ กฎหมายที่เกี่ยวกับรัฐโรมัน ในขณะที่ กฎหมายเอกชน เกี่ยวกับผลประโยชน์ของเอกชนแต่ละคน 4. ยุคขุนนางนักปกครอง (ค. 300 - ค. 534) มีการจัดทำประมวลกฎหมายโรมันเสร็จในค. 534 มีการพัฒนา กฎหมายมหาชนในแง่ที่ว่ากฎหมายศาสนา (Sacrum jus) ของโรมันเสื่อมอิทธิพลลง เพราะ อิทธิพลของคริสต์ศาสนาที่เข้ามาแทนที่ มีกันแยกกันของกฎหมายเอกชนกับกฎหมายมหาชนอย่างชัดเจน ซึ่งมูลบทนิติศาสตร์ (institutions) ซึ่งเป็นรากฐานกฎหมายที่สำคัญที่สุดและเป็นส่วนหนึ่งในสี่ส่วนของประมวลกฎหมายนี้แบ่งเป็นเนื้อหาของกฎหมายออกเป็น 3 ภาค คือ 4. 1 Persona ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 4.
กฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่กำหนดถึงฐานะและอำนาจที่รัฐกับพลเมืองในรัฐหรือความเกี่ยวพันระหว่างรัฐกับรัฐ กฎหมายมหาชน ได้แก่ กฎหมายอาญา กฎหมายปกครอง กฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายแรงงาน เป็นต้น กฎหมายเอกชน เป็นกฎหมายที่กำหนดฐานะของเอกชน และวางระเบียบในเรื่องความสัมพันธ์ หรือความเกี่ยวพันระหว่างเอกชนด้วยกัน ได้แก่ กฎหมายแพ่ง กฎหมายพาณิชย์ ดังนี้เมื่อเราได้ทราบถึงความหมายของกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนแล้ว สามารถที่จะแยกความแตกต่างได้ เป็น 3 ประการคือ 1. ความแตกต่างในด้าน "องค์กร" คือ – ในกฎหมายมหาชน รัฐในฐานะผู้ปกครองเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในหน่วยงานของรัฐด้วยกัน หรือความเกี่ยวพันระหว่างตัวผู้ปกครองด้วยกันเอง – ส่วนกฎหมายเอกชนนั้น เป็นกฎหมายที่ใช้สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างผู้อยู่ใต้การปกครองด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งผู้ปกครองจะไม่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเลย 2. ความแตกต่างทางด้าน "เนื้อหา" คือ เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์เป็นสำคัญ ซึ่งหมายความว่า – กฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของส่วนรวมหรือของประชาชน หรือที่เข้าใจกันว่าเป็น "ประโยชน์สาธารณะ" – ส่วนกฎหมายเอกชน นั้นเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของสมาชิกในแต่ละองค์กร ซึ่งเข้าใจกันว่า "ผลประโยชน์ส่วนบุคคล" 3.
1 พิจารณาถึงประโยชน์ที่กฎหมายมหาชนมุ่งเน้น คือ ผลประโยชน์ของมหาชนหรือประโยชน์สาธารณะ 1. 2 พิจารณาดูคู่กรณีในนิติสัมพันธ์ที่กฎหมายกำหนด โดยทางกฎหมายกำหนดนั้นจะปรากฎชัดใน 3 ลักษณะ 1. ) นิติสัมพันธ์ระหว่างองค์กรของรัฐด้วยกันเอง 2. ) นิติสัมพันธ์ระหว่างองค์กรของรัฐกับเอกชน 3. ) นิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชนของกฎหมายมหาชนคือ นิติสัมพันธ์ระหว่างองค์กรของรัฐด้วยกันเองและนิติสัมพันธ์ระหว่างองค์กรของรัฐกับเอกชน 1.
กฎหมายแพ่ง เป็นกฎหมายที่กำหนดสิทธิ หน้าที่ และความสัมพันธ์ของบุคคลตั้งแต่เกิดจนตาย เช่น กฎหมายเกี่ยวกับบุคคล ทรัพย์ นิติกรรม สัญญา หนี้ ครอบครัว มรดก เป็นต้น 2.
กฎหมายมหาชนโดยแท้หรือแบบที่ถือกันมาแต่เดิม ( Classic) ซึ่งนักกฎหมายทั่วไปยอมรับ ได้แก่ 1. 1 รัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นในลักษณะเดียวกัน เช่น พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร 1. 2 กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ หมายถึง กฎหมายที่อธิบายหรือขยายความเกี่ยวกับกฎเกณฑ์การปกครองประเทศตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด เช่น กฎหมายเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กฎหมายพรรคการเมือง กฎหมายเกี่ยวกับการออกเสียงแสดงประชามติ กฎหมายเกี่ยวกับวิธีพิจารณาของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ 1. 3 กฎหมายปกครอง หมายถึง กฎหมายที่วางหลักการจัดระเบียบการปกครองโดยตรง เช่น ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 218 ลงวันที่ 29 กันยายน พ. 2515 เป็นต้น และรวมถึงกฎหมายที่กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการบริหารงาน (Administration) หรือการปฏิบัติหน้าที่เฉพาะเรื่องของฝ่ายปกครอง เช่น กฎหมายภาษีอากร กฎหมายแรงงาน กฎหมายเกี่ยวกับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม 1. 4 กฎหมายการคลัง หมายถึง กฎหมายว่าด้วยการจัดระเบียบรายวันและรายจ่ายของรัฐ และหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ เช่น กฎหมายงบประมาณ กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายปกครอง และกฎหมายการคลัง กฎหมายมหาชนทั้งสามนี้ถือเป็นกฎหมายมหาชนโดยแท้ ซึ่งทำให้เกิดสถาบันสำคัญ ได้แก่ สถาบันรัฐธรรมนูญและการเมือง สถาบันปกครอง และสถาบันการคลัง 2. )
ร. บ. )
2 Res ว่าด้วยทรัพย์สินสิ่งของและมรดก 4. 3 Action ว่าด้วยการฟ้องร้องทางแพ่ง ลักษณะกฎหมายมหาชน ในอดีตกฎหมายมหาชนเป็นระบบกฎหมายเกี่ยวกับการใช้อำนาจของผู้ปกครอง (les gouvernants) ซึ่งในสมัยก่อนพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาสิทธิราชย์มีอำนาจปกครองที่เด็ดขาด การใช้อำนาจจึงมีแนวโน้มเป็นไปตามอำเภอใจไม่มีจุดมุ่งหมายที่แน่นอนชัดเจน อำนาจการปกครองดังกล่าวจึงอยู่นอกขอบเขตนิติศาสตร์ และในปันจุบันกฎหมายมหาชน (Public law)ได้ถูกกำหนดให้มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนและแน่นอนขึ้นจากระบอบการปกครองและด้วยยุคสมัยที่ผ่านมา การพิจารณาลักษณะของกฎหมายมหาชน แบ่งได้ 3 วิธี โดยสามารถพิจารณาได้ดังต่อไปนี้ 1. 1 พิจารณาถึงประโยชน์ที่กฎหมายมหาชนมุ่งเน้น คือ ผลประโยชน์ของมหาชนหรือประโยชน์สาธารณะ 1. 2 พิจารณาดูคู่กรณีในนิติสัมพันธ์ที่กฎหมายกำหนด โดยทางกฎหมายกำหนดนั้นจะปรากฎชัดใน 3 ลักษณะ 1. ) นิติสัมพันธ์ระหว่างองค์กรของรัฐด้วยกันเอง 2. ) นิติสัมพันธ์ระหว่างองค์กรของรัฐกับเอกชน 3. ) นิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชนของกฎหมายมหาชนคือ นิติสัมพันธ์ระหว่างองค์กรของรัฐด้วยกันเองและนิติสัมพันธ์ระหว่างองค์กรของรัฐกับเอกชน 1.